วัยรุ่นสมัยนี้ติดสวยติดหล่อ ส่องกระจกตลอดเวลา ความมั่นใจในตัวเองต่ำ อาจเข้าข่ายอาการ 'โรคที่ไม่เป็นโรค' หรือ 'โซมาโตฟอร์ม' (Somatoform disorders) ซึ่งอาการของโรค คือ การเข้าใจของผู้ป่วยว่าเป็นโรค แต่เมื่อไปพบแพทย์กลับตรวจไม่พบการเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย
นายแพทย์ประวิตร พิศาลบุตร แพทย์โรคผิวหนัง อดีตนักวิจัยสถาบันสุขภาพแห่งชาติสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ขณะนี้มีโซมาโตฟอร์มบางอย่างที่น่าสนใจ คือ 'Body Dysmorphic Disorder' หรือ BDD ผู้ป่วยจะมีความกังวลว่า มีความผิดปกติของผิวหนังหรืออวัยวะที่ไม่ได้สัดส่วน เช่น จมูก เปลือกตา และคิ้ว เป็นต้น แม้มีประชากรทั่วไปร้อยละ 1-2 เป็นโรค BDD แต่สติถิโรค BDD กลับสูงขึ้นชัดเจน ลักษณะอาการผู้ป่วย BDD จะมีความมั่นใจในตัวเองต่ำ ชอบเปรียบเทียบอวัยวะที่ตนเองคิดว่าผิดปกติกับคนอื่น ใช้เวลาครุ่นคิดถึงรูปร่างหน้าตาตัวเองวันละ 1-3 ชั่วโมง บางคนไปทำศัลยกรรมซ้ำหลายครั้งแต่ก็ยังไม่พอใจ โดยจากสถิติพบว่าโรคนี้มักเป็นเรื้อรัง และเริ่มเป็นในวัยรุ่น อายุระหว่าง 16 - 17 ปี พบผู้ป่วยโรคนี้เคยพยายามฆ่าตัวตายถึงร้อยละ 29 โดยพบในชายและหญิงเท่ากัน แต่ในชายพบว่าติดยาด้วยถึงร้อยละ 50
จึงมีการออกมาเตือนให้ผู้ปกครองและแพทย์ควรหลีกเลี่ยงการเสริมความงามให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้ เนื่องจากการเสริมความงามไม่ได้แก้ปัญหาพื้นฐาน คือ เรื่องจิตใจ และการรักษาที่ดีที่สุดคือการปรึกษาจิตแพทย์ร่วมในการรักษา แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ปกครองควรทำความเข้าใจว่า โรคผิวหนังบางอย่างเป็นโรคที่แท้จริง เช่น โรคสิว ที่ควรได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง โดยพบว่าผู้ที่เป็นสิวบางรายแม้เป็นสิวเพียงเล็กน้อยก็อาจส่งผลให้เกิดอาการ ซึมเศร้ารุนแรงพอกับคนที่เป็นโรคสะเก็ดเงินอย่างรุนแรงได้
9 มกราคม 2554
5 มกราคม 2554
คำทำนาย จากชุดนอนที่ คุณชอบใส่
ชอบใส่ชุดนอนแบบไหน คิดก่อนอ่านนะคะ
- ชุดบางเบา…. คุณชอบความเซ็กซี่เร้าอารมณ์ มีอารมณ์คลาสสิคสุนทรี รักความสวยงาม เเต่ก็อาจจะอ่อนไหว ชอบทำตัว ขี้น้อยใจไปบ้าง มักแสดงความยั่วยวน ให้เพศตรงข้าม หันมองด้วยความตื่นเต้น ในสรีระร่างกายเเละความเร้า-ใจในตัว คุณชอบความ ตื่นเต้นในเรื่องของความรัก
- ชุดชั้นใน… คุณเป็นเย้ายวน ชวนให้หลงใหล คุณเป็นรักอิสระ ช่างคิดช่างฝัน โดยเฉพาะ ความต้องการด้านความรัก ความอบอุ่นมั่นคงในชีวิต คุณมักมองโลก ในแง่ดี มีอารมณ์อ่อนหวานละเมียดละไม ออกจะอ่อนไหวไปบ้างในเรื่องความรัก เจ้าเเง่เเสนงอน
- ชุดนอนหนายาว… คุณชอบความอบอุ่น เเละมีความคิดเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ในแบบอนุรักษ์นิยม ชอบพึ่งพา ความรู้ความสามารถของตนเอง มากกว่าขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น ชอบที่จะท่องเที่ยวผจญภัยไปตามธรรมชาติ
- ชุดนอนเเบบเด็ก… คุณชอบเเสดงตัวเป็นเด็กขี้อ้อน แบบต้องการให้ผู้อื่นเอาอกเอาใจ ช่างคิด ช่างฝัน สร้ารสรรค์วิมานสวยๆ งามๆ ตามเเฟชั่นเเบบกุ๊กกิ๊กอาโนเนะ แต่คุณมีอารมณ์อ่อนไหว วิตกกังวลใจต่อคำพูด เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ของผู้อื่น
- เสื้อยืด… คุณชอบความอิสระ เรียบง่าย สะดวกสบาย มีความโอบอ้อมอารีต่อผู้คนรอบข้าง โดยเฉพาะ การมีมนุษยสัมพันธ์ดีกับผู้ที่อ่อนวัยกว่า คุณมักมองโลกในแง่ดี หรือมักมองตามความจริงของชีวิต
- กางเกงขาสั้น… คุณชอบความเรียบง่าย สะดวกสบายในการใช้ชีวิต คุณมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี กับเพื่อนฝูงเเละผู้อื่น มักมองโลกในแง่ความเป็นจริงของสังคม ชอบความสนุสนานรื่นเริง
- กางเกงขายาว… คุณต้องการความอบอุ่นมั่นคง มีความเชื่อมั่นในชีวิต มีความเป็นตัวของตัวเอง มักชอบลงมือปฏิบัติงานด้วยตนเอง มากกว่าร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่น มีความพร้อมเเละตื่นตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะความรับผิดชอบในหน้าที่การงาน
- แก้ผ้านอน… คุณมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูง มีความสนใจของสรีระร่างกายตามส่วนโค้งเว้า และความสวยงาม ของร่างกายตัวเอง และคนรอบข้างแบบที่เย้ายวนใจ โดยเฉพาะในอารมณ์รักความอิสระเสรี
ดูแลความรัก คนรักอยู่เสมอ
- ดูแลความรัก หมั่นเติมความรักอยู่เสมอ อย่าลืมเลือกเวลาเหมาะ ๆ เพื่อใช้ในการพูดคุยกัน หมั่นแลกเปลี่ยนความคิดกันบ่อย ๆ
- กล้าหาญกับความรู้สึก คุณควรจะเปิดเผยความรู้สึกที่แท้จริงของคุณกับคนที่อยู่ข้างตัวบ้าง
- คิดก่อนพูด เพราะคำพูดที่หลุดออกมาจากปากนั้น ไม่สามารถย้อนกลับคินได้
- มีการให้เวลานอก เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเริ่มอึดอัด เบื่อหน่าย หรือเกิดการขัดแย้งที่ชักจะบานปลายเป็นเรื่อง หรือเมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่พร้อมที่จะตอบคำถาม ไม่มีการกดดันกันให้เวลาเพื่อพักโดยไม่ถามเหตุผล ให้โอกาสในการพูดเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ของแต่ละคนตามความพร้อม
- ฟังกันบ้าง ถ้ารู้จักฟังจะทำให้ความเข้าใจตรงกัน เมื่อไม่เข้าใจกันก็จะได้ถาม ได้อธิบาย ทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นมากขึ้น
- เพิ่มรักให้เหนียวแน่น เช่น เอ่ยชมกันและกันบ่อย ๆ การ เอ่ยชมคนรักบ่อย ๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้เขารู้สึกดีเท่านั้น แต่จะมีผลในแง่ความรู้สึกของคนที่ชมด้วย
- หัดใจเย็นมากขึ้น เมื่ออารมณ์ขุ่นมัว ตัดสินใจอะไรผิด ๆ ได้ง่าย การทำตัวเย็นจะทำให้ฝ่ายเกรงใจ
- คอยตักเตือนในสิ่งที่เขาทำผิดพลาด เมื่อเห็นว่าเขาทำอะไรไม่ค่อยเข้าท่า ก็อย่าลืมคอยเตือนเขาไว้บ้าง เตือนด้วยความจริงใจ ไม่ใช่ไปตำหนิเขา
- เมื่อทะเลาะกันไม่มีคำว่าฉันหรือเธอ แต่ความเป็นคำว่าเราทั้งคู่ จะทำให้รู้สึกว่าทั้งสองคนยังมีค่าพอสำหรับกันและกัน อย่างน้อยก็ยังไม่แบ่งแยกแบบตัวใครตัวมัน จะทำให้ดีกรีความรุนแรงเมื่อทะเลาะกันน้อยลง
- ขอร้องเมื่อต้องการ…ไม่ใช่สั่ง หลายเรื่องที่บางครั้งเราไม่พอใจ และอยากให้เขาเปลี่ยนแปลงบางอย่างให้ถูกใจเรา ให้ขอร้องเราดี ๆ ด้วยเหตุผล อย่าสั่งเด็ดขาด
เรื่องน่ารู้ วิธีรัก ...แบบผู้หญิงฉลาด
- ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าในตัวเองก็อย่าหวังว่าใครอื่นจะมองเห็น การที่คุณหลงรักใครสักคน และต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อเค้าคนนั้น อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก เมื่อคุณเปลี่ยนเขาก็จะหมดความสนใจในตัวคุณ หากเทียบกับตอนที่เขาหลงรักคุณใหม่ๆ เขารักในตัวตนของคุณไม่ใช่คนที่เขาใฝ่ฝันอยากให้เป็น ซึ่งเป็นเพียงจินตนาการของผู้ชายเท่านั้น แต่คุณเป็นคนในโลกแห่งความจริง จงเป็นตัวของตัวเองและปรับเปลี่ยนเพียงพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อตัวคุณเองนะ ไม่ใช่เพื่อเขา
- เซ็กซ์ไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนที่ผู้หญิงฉลาดจะสนิทสนมกับใครสักคนทางกาย ควรรู้จักเขานานพอที่จะรู้ว่าเขาเป็นคนอย่างไร รักสุขภาพตัวเองแค่ไหน และควรให้แน่ใจว่าหากคุณมีสัมพันธ์กับเขา คุณจะปลอดภัยทั้งทางจิตใจและร่างกาย และถึงแม้ว่าเขาจะดีพร้อมทุกอย่างก็ไม่จำเป็นว่าคุณจะต้องนอนกับเขาหากคุณ ไม่พร้อม เสรีภาพทางเพศหรือฟรีเซ็กซ์ควรควบคู่ไปกับความรับผิดชอบด้วย เรารู้จักผู้ชายได้โดยไม่ต้องมีเซ็กซ์เลยด้วยซ้ำ หากเขาจริงจังกับคุณ
- ผู้ชายแสนดีไม่จำเป็นต้องหล่อ หากคนที่คุณคบอยู่เป็นคนดีและคุณชื่นชอบเขา ติดเพียงแค่เขาไม่ใช่หนุ่มหล่อในสเป็ค ให้คุณลองมองดูในจุดดีของเขา และลองมองดูถึงอนาคตว่าเขาจะสามารถใช้ชีวิตอยู่กับคุณได้ด้วยความสุขหรือไม่ ลองสังเกตแฟมิลี่แมนที่ไปเดินชอปปิ้งในซูเปอร์มาเกต หรือพาแฟนไปเดินเที่ยว หรือทานดินเนอร์ เขาเหล่านั้นใช่จะหน้าตาดีไปซะทุกคนซะหน่อย ลองมองที่จิตใจแล้วคุณจะเห็นความ(ดี)งาม
- ความเป็นเพื่อนยาวนานกว่าความรัก คู่รักคือมิตรภาพที่ยาวนาน นั่นคือคุณสามารถพูดคุยกับเขาได้ทุกเรื่องไม่เว้นเรื่องกระจุกกระจิกของ ผู้หญิง ถึงแม้เขาจะไม่เข้าใจแต่เขาจะตั้งใจฟังคุณและช่วยคุณแก้ปัญหา
- ความรักมีปริมาณ 50-50 การที่ต่างฝ่ายต่างมอบความรู้สึกห่วงใยซึ่งกันและกันอยู่เสมอ เป็นสิ่งที่ดี ทุกคู่ควรเป็นทั้งฝ่ายรับและฝ่ายให้ เพราะถ้าอีกฝ่ายเป็นคนให้มากเกินไปเขาอาจจะรู้สึกอึดอัดและรู้สึกผิด เพราะเหมือนเป็นการโดนหลอดใช้ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อความรักในระยะยาว การมอบสิ่งดีๆให้แก่กัน เป็นสิ่งที่ไม่ยากเพียงพยายามฟังและเข้าใจในสิ่งที่เขาพูดหรือต้องการ
- ทุกคนมีพื้นที่ส่วนตัว การที่คบกันไม่จำเป็นต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา คุณเองก็ต้องการจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนผู้หญิงบ้าง พูดคุยกันในเรื่องที่คุยได้เฉพาะกับผู้หญิง เขาก็เช่นกันต้องการไปสังสรรค์กับเพื่อน หรือแม้แต่ใช้เวลาว่างเท่าที่เขาต้องการ แต่ต้องไม่ใช่ละเลยคุณ แต่คุณอาจจะมีส่วนร่วมในกิจกรรมกับเขาบ้าง แค่อย่าไปจุกจิกกับเขามากนักเลยนะ
- เราไม่มีวันเปลี่ยนแปลงผู้ชายได้ ไม่มีใครจะเปลี่ยนแปลงเขาได้ นอกเสียจากเขาต้องการจะทำเช่นนั้นเอง ฉะนั้นอย่าเสียเวลาในการขอร้องให้เขาเปลี่ยนแปลง เอาเวลาที่มีค่านั้นมาปรับปรุงสถานการณ์บางอย่างของคุณและเขาให้มีแต่ความ สัมพันธ์ดีๆดีกว่านะ หรือคุณอาจจะเป็นฝ่ายปรับเปลี่ยนตัวเอง คุณสามารถทำอะไรได้ตั้งหลายอย่างเพื่อให้ชีวิตคุณดีขึ้น แต่อย่าลืมว่าอย่าเปลี่ยนไปซะหมดเพราะเขาคงไม่ชอบใจแน่ และหากเขาแสดงการกระทำที่ไม่ให้เกียรติคุณ เขาก็ไม่สมควรได้รับในสิ่งดีๆที่คุณพยายามหรือความห่วงใยจากคุณแล้วล่ะ อย่าปล่อยให้เขาทำตัวแย่กับคุณ เพราะเขาจะยิ่งทำตัวแย่มากขึ้นเรื่อยๆ
- งานบ้านไม่ใช่หน้าที่เฉพาะผู้หญิง อย่ากลัวที่จะขอให้เขาช่วยเหลือ บางครั้งที่เขาไม่ช่วยเพราะเขาไม่สนใจมันจริงๆหรือเขาคิดว่าคุณอยากจะทำเอง หรือเขาอาจจะขี้เกียจ แต่ในเมื่อคุณไม่ขอเขาก็ไม่ทำ และหากเขาช่วยงานคุณแล้ว อย่าอยู่ใกล้คอยชี้นิ้วสั่ง และอย่าเข้าไปทำเสียเองหากเขาทำไม่ได้ดั่งใจคุณ อย่าลืมว่าเขาต้องการการฝึกฝน คอยแนะนำการทำงานของเขาแต่อย่าตำหนิเมื่อเขาทำพลาด สิ่งที่สำคัญคือการที่เขารักคุณไม่ได้หมายความว่าคุณต้องรับใช้เขา ผู้ชายที่ทำงานบ้านเป็นผู้ชายที่แสนจะเซ็กซี่และน่ารักที่สุด
- การแต่งงานไม่ใช่กระดาษแผ่นเดียว ความผูกพันระหว่างคนสองคนต้องการเวลาและขั้นตอนในการพัฒนาตนเอง ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีบ้านสวยหรู หรือแหวนเพชรวงโต และไม่ใชการมีเซ็กซ์เท่านั้น การแต่งงานคือการประนีประนอมเพื่อความเข้าใจในการใช้ชีวิตคู่ ชีวิตคู่ไม่ต้องโรแมนติกตลอดเวลา ก็สามารถมีความหมายลึกซึ้งและเป็นรักที่แท้และฉลาดได้
เหลือเชื่อ! เลิกกินน้ำตาลกับแป้ง ผอมเลย
การลดน้ำหนักให้ได้ 4 - 9 ปอน์ดต่อาทิตย์โดยไม่ต้องมานั่งนับปริมาณแคลลอรี่ที่กินเข้าไป หรือไม่ต้องออกกำลังกายมากมาย อาจดูเกินความเป็นจริง แม้ว่าเราจะเป็นคนที่หมกมุ่นกับการลดความอ้วน และพยายามลดพุงมากแค่ไหน การลดน้ำหนักโดยไม่ต้องทำอะไรดูจะเป็นเรื่องเป็นไปไม่ได้ คุณอาจเริ่มต้นมองไปที่ดาราต่าง ๆ ซึ่งมักจะมี trainer ส่วนตัว และดาราหลาย ๆ คนก็ออกหนักสือลดความอ้วนมาให้เราด้วยอ่านกันตาม ที่น่าแปลกก็คือคุณไม่สามารถทำตามดาราเหล่านั้นเพื่อให้มีหุ่นที่ดีดังดารา คนนั้นได้
หนังสื่อชื่อ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าคุณสามารถกินอาหารที่คุณอยากกิน รวมทั้งอาหารขยะอย่างไอซ์ครีม มันฝรั่งทอด ฟิซซ่า หรือแม้แต่ชีสเบอเกอร์ ถ้าคุณควบคุมปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลินของคุณ ข้อมูลนี้อาจฟังดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณเคยเรียนรู้มา หนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการนับจำนวนแค ลอรี่ที่ได้รับเข้าไป, การกินให้น้อยลง หรือการออกกำลังกายให้เพิ่มมากขึ้น
The Belly Fat Cure อะไรที่คุณกินได้?
หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างการวางแผนการกิน ซิ่งยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ แต่ด้วยทฤษฏใหม่นี้อาจทำให้การกินของคุณสามารถยืดหยุ่นได้มากกว่าเิดิม และคุณสามารถเลือกกินของที่ชอบได้มากขึ้น ตามแผนการกินคุณควรวางแผนกินโปรตีน, ไขมัน และผักต่าง ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรตต่ำ อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งเพื่อให้มีความหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลธรรมดา หรือน้ำตาลเทียม คุณจะต้องหลีกเลี่ยง ส่วนไวน์, เบียร์, แชมเปจ และ ดาร์ค ชอล์กอแลต ถือว่าโอเค แต่คุณจะต้องไม่กินคอล์กเทล และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ
ตัวอย่างการวางแผนรับประทานอาหาร
- อาหารเช้า ไข่ 3 ฟอง, ขนมปังปิ้งเนย 2 แผ่น
- ของว่าง ถั่ววอลนัท
- อาหารกลางวัน สลัดทูนา และขนมปัง 1 แผ่น
- อาหารเย็น ไก่ย่าง กับเสต็ก สลัดผัก
หนังสือ เล่มนี้แนะนำการควบคุมน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำวันละ 8 - 10 แก้วต่อวัน และรับประทานผลไม้สดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องดื่มนมไขมันต่ำ และ น้ำผลไม้ 100% ย ซึ่งการได้รับอาหารแบบนี้จะทำให้พุงของคุณหายไปได้
โดยทั่วไปแล้วผลไม้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อสุขภาพ เพราะประกอบไปด้วยไฟเบอร์ และสารอาหารที่มีประโยชน์ คุณสามารถได้รับสารอาหารจากผัก และผลไม้ เหมือนกับที่ได้จากเนื้อสัตว์ ซึ่งผัก และผลไม้จะมีน้ำตาล และไขมันที่ต่ำกว่า
หนังสื่อ The Belly Fat Cure มีแนวคิดที่คล้ายกับ Atkins ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการได้รับคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย ในแต่ละวันผู้ลดน้ำหนักจะต้องได้รับน้ำตาลไม่เกิน 15 กรัมเท่านั้น และจะต้องได้รับไฟเบอร์เข้าไปในร่างกายในปริมาณที่มากพอ นอกจากนี้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่ควรจะเกิน 20 กรัมต่อวันเท่านั้น หากคุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับคุณก็สามารถที่จะกินอาหารได้หลายอย่างที่ คุณต้องการ
ตามทฤษฎีของ Cruise เขา จะใช้ carb swap หรือการเปลี่ยนระบบคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับ เพื่อให้ระดับอินซูลินถูกควบคุม ซึ่งถ้าคุณมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ก็จะทำใ้ห้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นไขมัน และไปสะสมอยู่ที่พุงของคุณนั่นเอง นอกจากจะลงพุงแล้วยังทำให้คุณมีริ้วรอย แก่ก่อนวัย ร่างกายอ่อนแออ มีพลังงานต่ำ และ
ตามทฤษฎีของ Cruise เขากล่าวว่า เพราะว่าไขมัน และโปรตีนไม่ทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องจำกัดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เป็นที่ชอบใจนักสำหรับนักโภชนาการที่พยายามให้ผู้คนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เพื่อลดน้ำหนัก และเสริมสร้างสุขภาพ
หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าการออกกำลังกายหลัก ๆ นั้นไม่จำเป็นสำหรับการลดความอ้วน! สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็แค่ sit up เพื่อให้หน้าท้องของคุณมีกล้ามเนื้อที่ชัดเจนขึ้นมา แต่ไม่ทำน้ำหนักก็จะลดลงอยู่ดี เพียงแต่คุณจะมีหน้าท้องที่ไม่สวยงาม หากคุณต้องการมีหน้าท้องที่สวยงาม ซึ่งมีข้อแนะนำในหนังสือเล่มนี้คุณจะต้องออกกำลังกายหน้าท้องเป็นประจำ 8 นาทีต่อวัน และหากต้องการมีร่างกายที่แข็งแรงคุณควรจะเดินเพื่อออกกำลังกายเป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน ซึ่งแนะนอนว่า Cruise กล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ในการลดน้ำหนัก
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกับหนังสือเล่มนี้
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การลดน้ำหนักแบบนี้เป็นเพียงการล้อเล่น เกินจริงเท่านั้นเอง กล่าวโย Zied ผู้เขียนหนังสือ Nutrition at Your Fingertips ซึ่งหนังสือของ Zied อ้างอิงการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมาย แต่ก็มีผลวิจัยหลายอย่างก็ไม่ตรงความจริงในปัจจุบันนัก
แน่นอนว่าข้อมูลของ Cruise ไม่ได้รับการรับรองจากองค์กรวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะระมัดระวังเกี่ยวกับการกินเนื้อ, ไขมัน, และโซเดี่ยม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหัวใจของคุณ และโรคหัวใจยังเป็นสาเหตุหลักอีกอย่างหนึ่งต่อการเสียชีวิตของคุณที่สหรัฐอเมริกา
มากไปกว่านี้ระดับอินซูลินในร่างกายยังไม่สามารถควบคุมได้ง่าย Zied มีความเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กินอาหารมากเกินไป รวมทั้งน้ำตาลด้วย และทุก ๆ คนควรระมัดระวังการกินสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวันรวมทั้งน้ำตาลด้วย
คุณคิดอย่างไร ?
แม้หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise จะสวนกระแสนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจารณ์จำนวนมาก โดยกล่าว ว่าคุณสามารถกินเนื้อ และไขมันได้ ตราบเท่าที่คุณระวังระดับน้ำตาล และคาร์๋โบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลิน การออกกำลังกายไม่จำเป็นซะทีเดียวสำหรับการลดน้ำหนัก ยกเว้นว่าคุณต้องการจะมีหุ่นล้ำดูดีเหมือนนายแบบ หรือนักกีฬา
ถึงกระนั้นก็ตามมีหลายคนที่กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้มันได้ผล ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก internet เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ดูครับ ส่วนจะทำตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจส่วนตัวของคุณเท่านั้น ที่จะลองหรือไม่ อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่เกิด ขึ้นเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเวิร์คสำหรับคุณ แต่ก็เป็นไม่ได้เช่นกันว่า มันเป็นเพียงแค่ขยะหนึ่งเล่มเท่านั้นเอง
หนังสื่อชื่อ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าคุณสามารถกินอาหารที่คุณอยากกิน รวมทั้งอาหารขยะอย่างไอซ์ครีม มันฝรั่งทอด ฟิซซ่า หรือแม้แต่ชีสเบอเกอร์ ถ้าคุณควบคุมปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลินของคุณ ข้อมูลนี้อาจฟังดูตรงกันข้ามกับสิ่งที่คุณเคยเรียนรู้มา หนังสือเล่มนี้ยังบอกอีกว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่เกี่ยวข้องกับการนับจำนวนแค ลอรี่ที่ได้รับเข้าไป, การกินให้น้อยลง หรือการออกกำลังกายให้เพิ่มมากขึ้น
The Belly Fat Cure อะไรที่คุณกินได้?
หนังสือเล่มนี้มีตัวอย่างการวางแผนการกิน ซิ่งยังคงเป็นสิ่งสำคัญอยู่ แต่ด้วยทฤษฏใหม่นี้อาจทำให้การกินของคุณสามารถยืดหยุ่นได้มากกว่าเิดิม และคุณสามารถเลือกกินของที่ชอบได้มากขึ้น ตามแผนการกินคุณควรวางแผนกินโปรตีน, ไขมัน และผักต่าง ๆ ที่มีปริมาณน้ำตาล และคาโบไฮเดรตต่ำ อาหารที่ผ่านการปรุงแต่งเพื่อให้มีความหวาน ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาลธรรมดา หรือน้ำตาลเทียม คุณจะต้องหลีกเลี่ยง ส่วนไวน์, เบียร์, แชมเปจ และ ดาร์ค ชอล์กอแลต ถือว่าโอเค แต่คุณจะต้องไม่กินคอล์กเทล และขนมขบเคี้ยวต่าง ๆ
ตัวอย่างการวางแผนรับประทานอาหาร
- อาหารเช้า ไข่ 3 ฟอง, ขนมปังปิ้งเนย 2 แผ่น
- ของว่าง ถั่ววอลนัท
- อาหารกลางวัน สลัดทูนา และขนมปัง 1 แผ่น
- อาหารเย็น ไก่ย่าง กับเสต็ก สลัดผัก
หนังสือ เล่มนี้แนะนำการควบคุมน้ำหนักด้วยการดื่มน้ำวันละ 8 - 10 แก้วต่อวัน และรับประทานผลไม้สดเป็นหลัก นอกจากนี้ยังต้องดื่มนมไขมันต่ำ และ น้ำผลไม้ 100% ย ซึ่งการได้รับอาหารแบบนี้จะทำให้พุงของคุณหายไปได้
หนังสื่อ The Belly Fat Cure มีแนวคิดที่คล้ายกับ Atkins ซึ่งเป็นการเปลี่ยนการได้รับคาร์โบไฮเดรตของร่างกาย ในแต่ละวันผู้ลดน้ำหนักจะต้องได้รับน้ำตาลไม่เกิน 15 กรัมเท่านั้น และจะต้องได้รับไฟเบอร์เข้าไปในร่างกายในปริมาณที่มากพอ นอกจากนี้ปริมาณคาร์โบไฮเดรตไม่ควรจะเกิน 20 กรัมต่อวันเท่านั้น หากคุณสามารถควบคุมระดับน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับคุณก็สามารถที่จะกินอาหารได้หลายอย่างที่ คุณต้องการ
ตามทฤษฎีของ Cruise เขา จะใช้ carb swap หรือการเปลี่ยนระบบคาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับ เพื่อให้ระดับอินซูลินถูกควบคุม ซึ่งถ้าคุณมีน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตในร่างกาย ก็จะทำใ้ห้ระดับอินซูลินในร่างกายเพิ่มขึ้น ซึ่งร่างกายจะเปลี่ยนน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรตให้กลายเป็นไขมัน และไปสะสมอยู่ที่พุงของคุณนั่นเอง นอกจากจะลงพุงแล้วยังทำให้คุณมีริ้วรอย แก่ก่อนวัย ร่างกายอ่อนแออ มีพลังงานต่ำ และ
ตามทฤษฎีของ Cruise เขากล่าวว่า เพราะว่าไขมัน และโปรตีนไม่ทำให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้น ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องจำกัดการบริโภคสิ่งเหล่านี้ ซึ่งแนวคิดนี้ไม่เป็นที่ชอบใจนักสำหรับนักโภชนาการที่พยายามให้ผู้คนหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมัน เพื่อลดน้ำหนัก และเสริมสร้างสุขภาพ
หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise แนะนำว่าการออกกำลังกายหลัก ๆ นั้นไม่จำเป็นสำหรับการลดความอ้วน! สิ่งที่คุณจำเป็นต้องทำก็แค่ sit up เพื่อให้หน้าท้องของคุณมีกล้ามเนื้อที่ชัดเจนขึ้นมา แต่ไม่ทำน้ำหนักก็จะลดลงอยู่ดี เพียงแต่คุณจะมีหน้าท้องที่ไม่สวยงาม หากคุณต้องการมีหน้าท้องที่สวยงาม ซึ่งมีข้อแนะนำในหนังสือเล่มนี้คุณจะต้องออกกำลังกายหน้าท้องเป็นประจำ 8 นาทีต่อวัน และหากต้องการมีร่างกายที่แข็งแรงคุณควรจะเดินเพื่อออกกำลังกายเป็นเวลา 20 นาทีต่อวัน ซึ่งแนะนอนว่า Cruise กล่าวว่ามันเป็นสิ่งที่จะทำหรือไม่ทำก็ได้ในการลดน้ำหนัก
สิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญกล่าวกับหนังสือเล่มนี้
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า การลดน้ำหนักแบบนี้เป็นเพียงการล้อเล่น เกินจริงเท่านั้นเอง กล่าวโย Zied ผู้เขียนหนังสือ Nutrition at Your Fingertips ซึ่งหนังสือของ Zied อ้างอิงการศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์มากมาย แต่ก็มีผลวิจัยหลายอย่างก็ไม่ตรงความจริงในปัจจุบันนัก
แน่นอนว่าข้อมูลของ Cruise ไม่ได้รับการรับรองจากองค์กรวิทยาศาสตร์ต่าง ๆ ที่ทำงานเกี่ยวข้องกับการควบคุมอาหารเพื่อลดน้ำหนัก ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่จะระมัดระวังเกี่ยวกับการกินเนื้อ, ไขมัน, และโซเดี่ยม ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อหัวใจของคุณ และโรคหัวใจยังเป็นสาเหตุหลักอีกอย่างหนึ่งต่อการเสียชีวิตของคุณที่สหรัฐอเมริกา
มากไปกว่านี้ระดับอินซูลินในร่างกายยังไม่สามารถควบคุมได้ง่าย Zied มีความเห็นว่าผู้คนส่วนใหญ่กินอาหารมากเกินไป รวมทั้งน้ำตาลด้วย และทุก ๆ คนควรระมัดระวังการกินสิ่งต่าง ๆ ในแต่ละวันรวมทั้งน้ำตาลด้วย
คุณคิดอย่างไร ?
แม้หนังสือ The Belly Fat Cure ของ Cruise จะสวนกระแสนักวิทยาศาสตร์ และนักวิจารณ์จำนวนมาก โดยกล่าว ว่าคุณสามารถกินเนื้อ และไขมันได้ ตราบเท่าที่คุณระวังระดับน้ำตาล และคาร์๋โบไฮเดรต เพื่อควบคุมระดับอินซูลิน การออกกำลังกายไม่จำเป็นซะทีเดียวสำหรับการลดน้ำหนัก ยกเว้นว่าคุณต้องการจะมีหุ่นล้ำดูดีเหมือนนายแบบ หรือนักกีฬา
ถึงกระนั้นก็ตามมีหลายคนที่กล่าวว่าหนังสือเล่มนี้มันได้ผล ลองหาข้อมูลเพิ่มเติมจาก internet เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ดูครับ ส่วนจะทำตามหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจส่วนตัวของคุณเท่านั้น ที่จะลองหรือไม่ อย่าลืมว่าวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่ทางวิทยาศาสตร์ที่เกิด ขึ้นเป็นไปได้ว่าหนังสือเล่มนี้จะเวิร์คสำหรับคุณ แต่ก็เป็นไม่ได้เช่นกันว่า มันเป็นเพียงแค่ขยะหนึ่งเล่มเท่านั้นเอง
แนะกินเลี้ยงปีใหม่ เผยแคลอรีอาหารยอดฮิต
นพ.ฆนัท ครุฑกูล ผู้จัดการศูนย์หัวใจหลอดเลือด และเมแทบอลิซึม และกรรมการเครือข่ายคนไทยไร้พุง สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่มีงานเลี้ยงฉลอง มักเลือกใช้อาหารที่ให้พลังงานสูง มีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาล และไขมันเป็นหลัก หากบริโภคมากเกินไปและไม่มีการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดโรคอ้วนตามมาได้ ปัจจุบันประมาณการณ์ว่า มีประชากรไทยจำนวน 10.2 ล้านคน หรือ 35% ของจำนวนประชาชนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป กำลังเผชิญปัญหาโรคอ้วน
นพ.ฆนัท กล่าวว่า ตัวอย่างอาหารที่มักนำมาจัดเลี้ยงในช่วงเทศกาล และเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ได้แก่
1. พิซซ่า 1 ชิ้น (236 กรัม) ให้พลังงาน 553 กิโลแคลอรี่
2. โดนัท (บัตเตอร์นัท) 1 ชิ้น ให้พลังงาน 384 กิโลแคลอรี่
3. ไก่ทอด เนื้อสะโพก 1 ชิ้น (107 กรัม) ให้พลังงาน 380 กิโลแคลอรี่
4. มันฝรั่งทอด ขนาดกลาง ให้พลังงาน 360 กิโลแคลอรี่
5. ไอศครีม 1 ถ้วย ให้พลังงาน 300 กิโลแคลอรี่
6. บราวนี่ ชีสเค้ก บัตเตอร์เค้ก เค้กช็อกโกแลต1 ชิ้น ให้พลังงาน 280 กิโลแคลอรี่
7. คุกกี้เนย 3 ชิ้น ให้พลังงาน 240 กิโลแคลอรี่
8. บัวลอยเผือก 1 ถ้วย ให้พลังงาน 230 กิโลแคลอรี่
9. กาแฟ ไมโลเย็น 1 แก้ว ให้พลังงาน 200 กิโลแคลอรี่
10. ปอเปี้ยทอด 3 ชิ้น ให้พลังงาน 188 กิโลแคลอรี่
ทั้งนี้ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน ขึ้นอยู่ที่อายุ น้ำหนักตัว แต่หากทานอาหารประเภทดังกล่าวจำนวนมาก ก็มีโอกาสจะได้รับพลังงานเกินและเป็นสาเหตุของโรคอ้วนตามมา
นพ.ฆนัท กล่าวว่า การเลือกทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการจะช่วยป้องกันน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มขึ้นซึ่งมีหลักง่ายๆ คือ
1. ไม่ควรอดอาหารหรือปล่อยให้ท้องว่างก่อนถึงงานเลี้ยงเพราะทำให้กินมากกว่าปกติ
2. พิจารณาอาหารในงานเลี้ยง และเลือกทานอาหารที่เหมาะสม 3. เน้นอาหารประเภทโปรตีนเป็นหลัก เช่นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ช่วยให้อ้วนน้อยกว่าอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และทำให้อิ่มนานขึ้น
4. เลือกอาหารพลังงานต่ำ เช่น อาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่างยำ
5. เลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบสูง ทานผลไม้หวานน้อยๆ แทน
6. ดื่มน้ำเปล่า แทนน้ำอัดลม หรือแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ ยังต้องหาเวลาออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานไม่ให้สะสมกลายเป็นไขมัน โดยเดินเร็ว 30 นาที หรือปั่นจักรยาน 40 นาที จะเผาผลาญพลังงานได้ 150 กิโลแคลอรี่
ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เป็นช่วงที่มีงานเลี้ยงฉลอง มักเลือกใช้อาหารที่ให้พลังงานสูง มีส่วนประกอบของแป้ง น้ำตาล และไขมันเป็นหลัก หากบริโภคมากเกินไปและไม่มีการออกกำลังกาย จะทำให้เกิดโรคอ้วนตามมาได้ ปัจจุบันประมาณการณ์ว่า มีประชากรไทยจำนวน 10.2 ล้านคน หรือ 35% ของจำนวนประชาชนที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป กำลังเผชิญปัญหาโรคอ้วน
นพ.ฆนัท กล่าวว่า ตัวอย่างอาหารที่มักนำมาจัดเลี้ยงในช่วงเทศกาล และเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง ได้แก่
ทั้งนี้ปริมาณสารอาหารที่ควรได้รับในแต่ละวัน ขึ้นอยู่ที่อายุ น้ำหนักตัว แต่หากทานอาหารประเภทดังกล่าวจำนวนมาก ก็มีโอกาสจะได้รับพลังงานเกินและเป็นสาเหตุของโรคอ้วนตามมา
นพ.ฆนัท กล่าวว่า การเลือกทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการจะช่วยป้องกันน้ำหนักตัวไม่ให้เพิ่มขึ้นซึ่งมีหลักง่ายๆ คือ
1. ไม่ควรอดอาหารหรือปล่อยให้ท้องว่างก่อนถึงงานเลี้ยงเพราะทำให้กินมากกว่าปกติ
2. พิจารณาอาหารในงานเลี้ยง และเลือกทานอาหารที่เหมาะสม 3. เน้นอาหารประเภทโปรตีนเป็นหลัก เช่นเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ช่วยให้อ้วนน้อยกว่าอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และทำให้อิ่มนานขึ้น
4. เลือกอาหารพลังงานต่ำ เช่น อาหารประเภทต้ม นึ่ง ย่างยำ
5. เลี่ยงอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตหรือแป้งเป็นส่วนประกอบสูง ทานผลไม้หวานน้อยๆ แทน
6. ดื่มน้ำเปล่า แทนน้ำอัดลม หรือแอลกอฮอล์
นอกจากนี้ ยังต้องหาเวลาออกกำลังกายเพื่อเผาผลาญพลังงานไม่ให้สะสมกลายเป็นไขมัน โดยเดินเร็ว 30 นาที หรือปั่นจักรยาน 40 นาที จะเผาผลาญพลังงานได้ 150 กิโลแคลอรี่
แปรงสีฟันที่ไม่ต้องใช้“ยาสีฟัน“?
Soladey-J3X แปรงสีฟันที่ไม่ง้อยาสีฟันที่ว่านี้ ได้รับการออกแบบโดย ดร.คุนิโอะ โคมิยาม่า และดร.เจอรี่ อุสวัค โดยที่ปลายด้ามของแปรงสีฟันจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ (solar panel) ซึ่งทำหน้าที่ส่งอิเล็กตรอนไปยังส่วนบนสุดของแปรงผ่านสายตัวนำ
ทั้งนี้เว็บไซต์ physorg ได้อธิบายว่า อิเล็กตรอนจะทำปฏิกิริยากับกรดที่อยู่ในปาก ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้ คราบแบคทีเรียบนผิวฟัน (plaque) แตกร่อนออกไป และฆ่าแบคทีเรียได้

นัก วิจัยได้ทดลองใช้แปรงสีฟันนี้แล้วกับแบคทีเรียตัวร้ายที่เป็นสาเหตุให้เกิด อาการเลือดออกตามไรฟัน (รำมะนาด) ปรากฎว่า แปรงสีฟันพลังงานแสงอาทิตย์สามารถทำลายเซลล์แบคทีเรียได้อย่างราบคาบ ได้ยินอย่างนี้แล้ว คงอยากทราบว่า แปรงสีฟัน Soladey-J3X ใช้พลังงานไฟฟ้าสักเท่าไร คำตอบคือ น้อยมาก โดยดร.โคมิยาม่าบอกว่า มันใช้พลังงานเพียงเศษเสี้ยวของเครื่องเล่นพลังงานแสงอาทิตย์เสียด้วยซ้ำ
ฟัง ดูดีแต่คงต้องรอว่า พัฒนาการต่อไปของมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ว่าแต่ไม่ใช้ยาสิฟันอย่างนี้ แล้วมันจะให้ความสดชื่นหลังแปรงฟันได้ไหมละเนี่ย?
ทั้งนี้เว็บไซต์ physorg ได้อธิบายว่า อิเล็กตรอนจะทำปฏิกิริยากับกรดที่อยู่ในปาก ทำให้เกิดปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้ คราบแบคทีเรียบนผิวฟัน (plaque) แตกร่อนออกไป และฆ่าแบคทีเรียได้
นัก วิจัยได้ทดลองใช้แปรงสีฟันนี้แล้วกับแบคทีเรียตัวร้ายที่เป็นสาเหตุให้เกิด อาการเลือดออกตามไรฟัน (รำมะนาด) ปรากฎว่า แปรงสีฟันพลังงานแสงอาทิตย์สามารถทำลายเซลล์แบคทีเรียได้อย่างราบคาบ ได้ยินอย่างนี้แล้ว คงอยากทราบว่า แปรงสีฟัน Soladey-J3X ใช้พลังงานไฟฟ้าสักเท่าไร คำตอบคือ น้อยมาก โดยดร.โคมิยาม่าบอกว่า มันใช้พลังงานเพียงเศษเสี้ยวของเครื่องเล่นพลังงานแสงอาทิตย์เสียด้วยซ้ำ
ฟัง ดูดีแต่คงต้องรอว่า พัฒนาการต่อไปของมันจะเป็นอย่างไรต่อไป ว่าแต่ไม่ใช้ยาสิฟันอย่างนี้ แล้วมันจะให้ความสดชื่นหลังแปรงฟันได้ไหมละเนี่ย?
ควรพูดอะไรให้คนฟังรู้สึกดี
ในการเปิดฉากสนทนากับ "คนที่หนูๆ ช้อบชอบ" อยากชวนให้ "มาเป็นแฟนกันเถอะ" น่าจะมีศิลปะในการพูดใช่มะ ไม่ใช่สุ่มสี่สุ่มห้าอยากพูด หรืออยากถามอะไรก็โพล่งขึ้นมา โดยอ้างว่า ก็ฉันเป็นคนตรงๆนี่หว่า --คงไม่ได้หรอก แหมจะจีบเค้าทั้งที ควรมีหัวข้อสนทนา ที่ทำให้คนนั้นอยากคุยกับเราต่อไปเรื่อยๆสิ อย่าเถรตรงเกินไป แต่ควรมีมารยาทไว้ก่อนแล้วดีเองน้อง
ซึ่งใน หัวข้อที่ควรพูดและหลบเลี่ยง ที่จะงัดมาหัวร่อต่อกระซิก เอ้ย...เจรจากับคนที่คุณสนใจ (Conversation Topics) บอกให้ทราบว่ามีอะไรบ้าง ที่อย่าหยิบขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาเลย เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ "คนพิเศษ" ชอบคุณมากขึ้นแล้ว อาจทำให้เค้าอึดอัดจนไม่อยากพบคุณอีกก็ได้ รวมทั้งหัวข้อที่น่าชวนคุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่น (ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหรือสาวก็ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ผิดกติกามวยโลกหรอก) เช่น.....
1. ไม่ควรตั้งกระทู้ถึงปัญหาสุขภาพ ขืนถามถึงปัญหาสุขภาพของ "คนที่คุณสนใจ" ตั้งแต่เพิ่งรู้จักกันละก็ โอ้โห เหมือนคุณไม่ให้เกียรติเขาเลยนะเนี่ย เพราะถามแบบนี้ก็เท่ากับระแวงสิว่า เขาเป็นโรคร้ายอะไรอยู่หรือเปล่า? แม้ใจจริงอาจแค่หาอะไรมาพูดด้วยเท่านั้น แต่เป็นเรื่องเซนซิทีฟไป ทว่าถ้าเป็นห่วงจากใจจริง จะถามก็ได้ไม่มีใครว่า เว้นแต่ถ้าตัวคนถูกถามโวยวายขึ้นมาก็อธิบายกันซะให้ดี แต่เอ...มีเหมือนกันที่บางคนชอบใช้แผนเรียกร้องความสงสาร จากเหยื่อด้วยการบอกว่าเขาป่วยอย่างงั้นอย่างงี้ จะฟังใครทั้งทีก็ควรมองหน้าคนพูดหน่อยว่าน่าเชื่อถือหรือไม่
2. อย่าพูดจาภาษาเทคนิเชียนให้มาก การสร้างความสัมพันธ์ทางใจไม่จำเป็นต้องงัดศัพท์แสงแสลงหูมาพูดก็เข้าใจกัน ได้ แต่แปลกแฮะพูดกับคนที่เราชอบด้วยการใช้ศัพท์แปลกๆ หรือศัพท์ เทคนิคด้านแพทย์, เภสัชฯ หรือไอทีอะไรเนี่ย ตอนแรกๆก็คงสนุกดี แถมชวนให้อยากคุยอีกต่างหาก แต่ขืนเจอกันทุกครั้งเป็นต้องแปล "เสียงในฟิล์ม" กว่าจะเข้าใจทีคงลำบากแฮะ เออ...ถ้า "ว่าที่แฟน" เป็นชาวต่างชาติก็ว่าไปอย่าง เพราะพอทำใจให้รู้แต่แรกแล้วว่าแตกต่างกันก็ต้องปรับตัวเข้าหากัน แล้วถ้าอีกฝ่ายรักเราจริง เขาอาจย่องเงียบไปเรียนภาษาเพื่อเซอร์ไพรส์คุณก็ได้ ดีซะอีกเป็นการทดสอบด้วยว่าเขาชอบเราจริงรึเปล่า?
3. อย่าถามถึงอดีต เป็นมารยาทขั้นพื้นฐานที่ไม่ควรถามเรื่องอดีตคู่รัก เว้นแต่อีกฝ่ายอยากพูดก่อน ที่ไม่ควรถามก็เผื่อว่า "ใครคนนั้น" อาจยังเจ็บช้ำระกำรักอยู่ก็ได้ หนำซ้ำจุดมุ่งหมายของการคบกันคราวนี้ คือการสร้างความประทับใจ, สร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ ไม่ใช่หวนรำลึกถึงหรือตอกย้ำเรื่องเศร้า หรือความผิดพลาดในอดีตนี่นา
4. ถามถึงพี่ๆน้องๆของอีกฝ่ายมั่งก็ได้ ถือเป็นหัวข้อสนทนาที่ปลอดภัย แสดงให้เห็นว่าคุณใส่ใจในชีวิตครอบ-ครัวของ "คนที่คุณชอบ" เป็น พิเศษ แต่อย่าสะเออะถามว่า เขามีพี่หรือน้องที่แจ๋วแหววเจ๋งเป้งกว่าเค้าหรือเปล่าละกัน หากอีกฝ่ายไม่มีพี่หรือน้องหล่อกว่าหรือฉลาดกว่าก็แล้วไป แบบนี้ยังเปิดทางให้เขา "คุยโว" ได้ แต่ถ้ามีล่ะ เพราะเขาเอง (คนที่คุณชอบ) ดันรู้สึกอยู่ลึกๆในใจอยู่แล้วว่าด้อยกว่าพี่น้อง ก็เท่ากับไปขยี้ปมด้อยให้แผลลึกไปอีก เสี่ยงว่ะ ว่ามะ
5. ถามถึงสถานที่ท่องเที่ยวที่ชื่นชอบ ไม่ว่าใครก็ชอบคุยเรื่องนี้ทั้งนั้น เพราะหัวข้อเรื่องงานการที่ทำอยู่น่ะมันเคร่งขรึมไปหน่อย สู้ถามถึงประสบการณ์เดินทางท่องเที่ยว ความประทับใจ และความเพลิดเพลินบันเทิงใจไม่ดีกว่ารึ รับรองไม่ใครก็ใครย่อมยินดีเล่าให้ฟังเป็นฉากๆ ถ้าสนใจในสถานที่คล้ายกัน จะได้ชวนไปเที่ยวซะเลย ยิงทีเดียวได้นกสองตัว ไชโย... ถือโอกาสสานความสัมพันธ์ล้ำลึกยิ่งๆขึ้นไปเลยซี แต่อย่าไปปล้ำเขาละกัน
6. คุยเรื่องอาหาร-เครื่องดื่ม หัวข้อการสนทนาอีกประการที่ไม่ควรพลาดคือ พูดคุยกันเรื่องอาหารและเครื่องดื่ม แล้วเดี๋ยวก็จะรู้เองแหละว่า ต่างฝ่ายต่างชอบทานอะไร และไม่ชอบอะไร ใจตรงกันหรือต่างจิตต่างใจ เผลอๆถ้าเขาบอกว่า ชอบทำอาหารละก็ งั้นรีบพูดเปิดทางให้เขาชวนคุณไปทานข้าวที่บ้านเขาเลยสิ ให้โอกาส "ฝ่ายนั้น" ได้โชว์ฝีมือการควงตะหลิวมั่งก็ดีนะ อีกอย่างการคุยถึงเครื่องดื่ม ก็จะได้รู้ไงว่าไอ้นี่ขี้เมารึเปล่า ขืนดื่มสุรายาเมาเป็นน้ำเปล่าละก็ ระวังจะพากันกินแกลบในอนาคตนะ
7. คุยเรื่องพื่อนๆ ผู้หญิงชอบคุยถึงเพื่อนสนิทซึ่งชายก็ชอบด้วยแหละ แต่ต่อหน้าสาวที่เขาชอบอาจไม่อยากพูดเพราะกลัวโดนแย่งก็ได้ แต่ถ้าเธอทำให้มั่นใจได้ว่าคุยให้ฟังได้ ไม่มีปัญหา ไม่ได้สนใจอยากเป็นแฟนซะหน่อย งั้นก็คุยซี แล้วอย่าลืมถามถึงเพื่อนเธอด้วยแม้ว่าจะไม่รู้จักก็ตาม จะได้ทราบว่าเพื่อนคนไหนที่มีความหมายกับอีกฝ่ายอย่างไร หรือใครบ้างที่ทำไม่ดีด้วย จะได้มีศัตรูตรงกันไง
8. คุยถึงเวลาว่าง หรือช่วงเวลาที่ต่างฝ่ายต่างทำอะไรสนุกๆ ถามถึงกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ต่างฝ่ายต่างชอบ จะได้หาโอกาสไปทำกิจกรรมนั้นร่วมกัน หรือชอบฟังเพลงประเภทไหน จะได้ควงกันไปดูคอนเสิร์ตวันหลัง ถ้านิยมไปเที่ยวสวนสนุก หรือสวนน้ำ ซัมเมอร์นี้จะได้ชวนกันไปตะลุยลงสระลงทะเลซะเลย แต่ถ้าฝ่ายไหนจำเป็นต้องไปกะครอบครัวก็ถอยดีกว่า
9. สุดสัปดาห์จะนัดเจอกันดีไหม? คู่ที่ยังไม่ได้อยู่ด้วยกัน ย่อมอยากเจอกันในวันหยุดสุดสัปดาห์แหงๆ ซึ่งหากว่างตรงกันก็ดีเลย แต่ถ้าไม่ใช่เพราะบางคนต้องทำงาน บางคนอาจมีธุระ ก็นัดกันให้รู้เรื่องรู้ราวไปซะ ไม่จำเป็นต้องเจอทุกวันหยุดก็ได้นี่ กระนั้นการใช้ชีวิตในช่วงวันหยุดด้วยกันซะมั่งอาจทำให้ได้ภาพที่ชัดเจนขึ้น ก็ได้นะ ว่าชีวิตที่อยู่กับใครคนนี้จะเป็นแบบไหน ถ้าใจตรงกันก็แจ๋วไปเลย
10. หากเขาชวนไปทานอาหาร แล้วพอถึงเวลาเช็กบิล เขาดันบ่นพึมพำว่า ตายล่ะวันนี้พกเงินสดมาไม่พอ แถมบัตรเครดิตก็ลืมเอามา "งั้นคุณจ่ายไปก่อนได้ไหม?" ...อุบัติเหตุแบบนี้เกิดขึ้นได้ แต่ในเมื่อเขาเป็นฝ่ายชวนก็ควรเตรียมตัวให้ดีกว่านี้ว่าไหม ขนาดเลี้ยงข้าวยังไม่พร้อมเลย แล้วจะเลี้ยงแฟนไหวเรอะ...น่าเก็บไปคิดเหมือนกันนะ
ซึ่งใน หัวข้อที่ควรพูดและหลบเลี่ยง ที่จะงัดมาหัวร่อต่อกระซิก เอ้ย...เจรจากับคนที่คุณสนใจ (Conversation Topics) บอกให้ทราบว่ามีอะไรบ้าง ที่อย่าหยิบขึ้นมาเป็นหัวข้อสนทนาเลย เพราะนอกจากจะไม่ช่วยให้ "คนพิเศษ" ชอบคุณมากขึ้นแล้ว อาจทำให้เค้าอึดอัดจนไม่อยากพบคุณอีกก็ได้ รวมทั้งหัวข้อที่น่าชวนคุยเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่น (ซึ่งไม่ว่าจะเป็นหนุ่มหรือสาวก็ใช้ได้ทั้งนั้น ไม่ผิดกติกามวยโลกหรอก) เช่น.....
เลือกกินขนมไทยตามราศีเพื่อเสริมดวง
ว่ากันว่าคนที่ถืออะไรเคร่งครัด ก็จะระมัดระวังไปเสียหมด ไม่ว่าจะเป็น การใส่เครื่องประดับ การเลือกสีเสื้อผ้าตามวัน การปลูกต้นไม้มงคลในบ้าน การเลือกเครื่องประดับตกแต่งภายในบ้าน การจัดบ้านตามหลักฮวงจุ้ย หรือแม้กระทั่ง การรับประทานอาหาร ก็ยังมีบางคนที่เชื่อว่า จะรับประทานอย่างไร เพื่อเสริมราศีของตนเอง อย่างไรก็ตาม ควรจะรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยแล้วกัน เพื่อสุขภาพร่างกายที่ดี
ราศีมังกร (เกิดระหว่าง 15 ม.ค.-14 ก.พ.)
ขนมสวยหลากสี สร้างสรรค์ให้ชีวิตแปลกใหม่ เป็นคนธาตุดิน ต้องเสริมความตื่นเต้นแปลกใหม่กับชีวิตด้วยขนมชั้นสีสวยๆ เยลลี่ลายหวานๆ หรือลูกชุปช่วยเสริมสง่าราศีให้โดนเด่นดีที่สุด เครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำหวานสีต่างๆ
ราศีกุมภ์ (เกิดระหว่าง 15 ก.พ.-14 มี.ค.)
โดดเด่นเป็นที่สนใจด้วยขนมหายาก เป็นคนธาตุลม ชอบขนมเบเกอรี่ ขนมเค้ก แต่มีขนมไทยหลายประเภทที่ช่วยเสริมดวงชะตา อาทิ สัมปันนี ฝอยทอง เครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำส้ม น้ำเสาวรส น้ำแอปเปิ้ล
ราศีมีน (เกิดระหว่าง 15 มี.ค.-14 เม.ย.)
โชคดีทุกการเดินทางด้วยขนมพื้นบ้านหลากแบบ เป็นคนธาตุไฟที่ไม่ค่อยใจร้อนเท่าไหร่ ขนมพื้นบ้านจะช่วยเสริมให้เจ้าตัวโชคดีเรื่องการเดินทาง อาทิ ข้าวเม่า ข้าวตอก ข้าวตัง เล็บมือนาง เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นประเภทน้ำผักผลไม้
ราศีเมษ (เกิดระหว่าง 15 เม.ย.-14 พ.ค.)
ลดอารมณ์ร้อนๆ ด้วยขนมเย็น เป็นคนธาตุไฟ มีนิสัยใจร้อนหงุดหงิดง่าย ควรแก้เคล็ดด้วยขนมประเภทเย็นๆ อาทิ ขนมลอดช่อง กระท้อนลอยแก้ว จะช่วยให้อารมณ์เย็นมีชีวิตชีวา สิ่งที่ติดขัดหรือมีปัญหาจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำผลไม้ปั่น อาทิ น้ำสับปะรด น้ำกระเจี้ยบ
ราศีพฤษภ (เกิดระหว่าง 15 พ.ค.-14 มิ.ย.)
เสริมความก้าวหน้าด้วยขนมเนื้อแน่น เป็นคนธาตุดิน หนักแน่น มั่นคงมีความรักชอบในศิลปะแบบโบราณ ขนมที่ช่วยเสริมราศี อาทิ ตะโก้ ขนมชั้น ขนมเปียกปูน ขนมหม้อแกง ขนมถ้วย เครื่องดื่มที่เหมาะควรเป็นน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ เก็กฮวย
ราศีเมถุน (เกิดระหว่าง 15 มิ.ย.-14 ก.ค.)
ขนมหายากสร้างเสน่ห์ให้เป็นที่รัก เป็นคนธาตุลม จิตใจแปรปรวน ขนมที่เสริมดวงชะตาให้เป็นที่รักของผู้อื่นอาทิ ขนมหน้านวล เครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้เช่นไวน์ พันซ์
ราศีกรกฎ (เกิดระหว่าง 15 ก.ค.-14 ส.ค.)
ชีวิตมีสีสันด้วยขนมรสชาติหวานมัน เป็นคนธาตุน้ำ ใจเย็นเพราะใจดีมีความนุ่มนวลขนมที่เสริมดวงชะตาสง่าราศี อาทิ ข้าวเหนียวสังขยา สังขยาฟักทอง ขนมประเภทแกงบวช เครื่องดื่มที่เหมาะคือประเภทน้ำหวาน ชา หรือกาแฟ ทั้งร้อนและเย็น
ราศีสิงห์ (เกิดระหว่าง 15 ส.ค.-14 ก.ย.)
เสริมความหรูหราด้วยขนมชื่อสิริมงคล เป็นคนธาตุไฟ ที่ค่อนข้างเอาแต่ใจขนมที่มีสีแดง ส้ม ทอง อาทิ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง จ่ามงกุฏ ข้าวเหนียวแดงจะช่วยเสริมความสง่างามและเสน่ห์ให้ตนเอง เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำสมุนไพร พวกน้ำจับเลี้ยง ชา ดอกคำฝอย
ราศีกันย์ (เกิดระหว่าง 15 ก.ย.-14 ต.ค.)
คนรอบข้างรักใคร่เมตตาด้วยขนมสีขาว เป็นคนธาตุดิน ที่ค่อนข้างใจเย็น ขนมที่คู่บารมีกับชาวกันย์ ต้องมีสีขาวหรือสีนวลเมตตา ขนมผิง ขนมหน้านวล หรือวุ้นกระทิ จะช่วยให้คนรอบข้างรักใคร่ เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นพวกน้ำสมุนไพร รังนก หรือโสม
ราศีตุลย์ (เกิดระหว่าง 15 ต.ค.-14 พ.ย.) ขนมหลากสีสัน ผลักดันให้งานก้าวหน้า เป็นคนธาตุลม ที่ไม่ค่อยยินดียินร้ายกับอะไรทั้งสิ้น ขนมที่เสริมบารมีกับหน้าที่การงานต้องมีสีสันสดใส เช่น ขนมสัมปันนี ช่อม่วง วุ้นกรอบ ข้าวเม่า เครื่องดื่มที่เหมาะควรเป็นน้ำผลไม้และนม
ราศีพิจิก (เกิดระหว่าง 15 พ.ย.-14 ธ.ค.)
ขนมผสมกระทิเนรมิตความร่ำรวย เป็นคนธาตุน้ำ มีความเป็นตัวของตัวเองสู้งานหนักสุขุม เหมาะกับขนมหวานประเภทแกงบวช ครองแครง ปลากริมไข่เต่า บัวลอย จะช่วยเสริมความร่ำรวย เครื่องดื่มที่เหมาะต้องมีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว
ราศีธนู (เกิดระหว่าง 15 ธ.ค.-14 ม.ค.)
ขนมมงคลพิธี ช่วยให้มีแต่คนเมตตา เป็นคนธาตุไฟ เหมาะที่สุดกับขนมที่มีชื่อเป็นมงคลจะเสริมให้เจริญก้าวหน้า เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้างเช่นขนมทองเอก โพรงแสม รังนก เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำมะพร้าว น้ำตาลสด ชา กาแฟ
ขนมสวยหลากสี สร้างสรรค์ให้ชีวิตแปลกใหม่ เป็นคนธาตุดิน ต้องเสริมความตื่นเต้นแปลกใหม่กับชีวิตด้วยขนมชั้นสีสวยๆ เยลลี่ลายหวานๆ หรือลูกชุปช่วยเสริมสง่าราศีให้โดนเด่นดีที่สุด เครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำหวานสีต่างๆ
โดดเด่นเป็นที่สนใจด้วยขนมหายาก เป็นคนธาตุลม ชอบขนมเบเกอรี่ ขนมเค้ก แต่มีขนมไทยหลายประเภทที่ช่วยเสริมดวงชะตา อาทิ สัมปันนี ฝอยทอง เครื่องดื่มที่เหมาะคือ น้ำส้ม น้ำเสาวรส น้ำแอปเปิ้ล
โชคดีทุกการเดินทางด้วยขนมพื้นบ้านหลากแบบ เป็นคนธาตุไฟที่ไม่ค่อยใจร้อนเท่าไหร่ ขนมพื้นบ้านจะช่วยเสริมให้เจ้าตัวโชคดีเรื่องการเดินทาง อาทิ ข้าวเม่า ข้าวตอก ข้าวตัง เล็บมือนาง เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นประเภทน้ำผักผลไม้
ลดอารมณ์ร้อนๆ ด้วยขนมเย็น เป็นคนธาตุไฟ มีนิสัยใจร้อนหงุดหงิดง่าย ควรแก้เคล็ดด้วยขนมประเภทเย็นๆ อาทิ ขนมลอดช่อง กระท้อนลอยแก้ว จะช่วยให้อารมณ์เย็นมีชีวิตชีวา สิ่งที่ติดขัดหรือมีปัญหาจะผ่านพ้นไปได้ด้วยดี เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำผลไม้ปั่น อาทิ น้ำสับปะรด น้ำกระเจี้ยบ
เสริมความก้าวหน้าด้วยขนมเนื้อแน่น เป็นคนธาตุดิน หนักแน่น มั่นคงมีความรักชอบในศิลปะแบบโบราณ ขนมที่ช่วยเสริมราศี อาทิ ตะโก้ ขนมชั้น ขนมเปียกปูน ขนมหม้อแกง ขนมถ้วย เครื่องดื่มที่เหมาะควรเป็นน้ำมะตูม น้ำตะไคร้ เก็กฮวย
ขนมหายากสร้างเสน่ห์ให้เป็นที่รัก เป็นคนธาตุลม จิตใจแปรปรวน ขนมที่เสริมดวงชะตาให้เป็นที่รักของผู้อื่นอาทิ ขนมหน้านวล เครื่องดื่มเป็นน้ำผลไม้เช่นไวน์ พันซ์
ชีวิตมีสีสันด้วยขนมรสชาติหวานมัน เป็นคนธาตุน้ำ ใจเย็นเพราะใจดีมีความนุ่มนวลขนมที่เสริมดวงชะตาสง่าราศี อาทิ ข้าวเหนียวสังขยา สังขยาฟักทอง ขนมประเภทแกงบวช เครื่องดื่มที่เหมาะคือประเภทน้ำหวาน ชา หรือกาแฟ ทั้งร้อนและเย็น
เสริมความหรูหราด้วยขนมชื่อสิริมงคล เป็นคนธาตุไฟ ที่ค่อนข้างเอาแต่ใจขนมที่มีสีแดง ส้ม ทอง อาทิ ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง จ่ามงกุฏ ข้าวเหนียวแดงจะช่วยเสริมความสง่างามและเสน่ห์ให้ตนเอง เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำสมุนไพร พวกน้ำจับเลี้ยง ชา ดอกคำฝอย
คนรอบข้างรักใคร่เมตตาด้วยขนมสีขาว เป็นคนธาตุดิน ที่ค่อนข้างใจเย็น ขนมที่คู่บารมีกับชาวกันย์ ต้องมีสีขาวหรือสีนวลเมตตา ขนมผิง ขนมหน้านวล หรือวุ้นกระทิ จะช่วยให้คนรอบข้างรักใคร่ เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นพวกน้ำสมุนไพร รังนก หรือโสม
ขนมผสมกระทิเนรมิตความร่ำรวย เป็นคนธาตุน้ำ มีความเป็นตัวของตัวเองสู้งานหนักสุขุม เหมาะกับขนมหวานประเภทแกงบวช ครองแครง ปลากริมไข่เต่า บัวลอย จะช่วยเสริมความร่ำรวย เครื่องดื่มที่เหมาะต้องมีรสเปรี้ยว เช่น น้ำมะนาว
ขนมมงคลพิธี ช่วยให้มีแต่คนเมตตา เป็นคนธาตุไฟ เหมาะที่สุดกับขนมที่มีชื่อเป็นมงคลจะเสริมให้เจริญก้าวหน้า เป็นที่รักใคร่ของคนรอบข้างเช่นขนมทองเอก โพรงแสม รังนก เครื่องดื่มที่เหมาะเป็นน้ำมะพร้าว น้ำตาลสด ชา กาแฟ
วิธีเผาผลาญ เมื่อกินเกินพิกัด
วิธีเผาผลาญเมื่อกินเกินพิกัด
การอยากมีหุ่นสวย หลายคนจึงระมัดระวังการรับประทานอาหารเป็นพิเศษ แต่หากในคืนปาร์ตี้ที่เผลอทานเยอะจนเกินพิกัดก็ไม่ต้องกังวล มีวิธีเผาผลาญไขมันมาฝาก
- ดื่มน้ำส้มคั้นสด มีวิตามินที่ช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ หากรับประทานเป็นผล จะมีเส้นใยธรรมชาติ ช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว
- ดื่มน้ำส้มคั้นสด มีวิตามินที่ช่วยดูดซึมสารอาหารที่สำคัญ หากรับประทานเป็นผล จะมีเส้นใยธรรมชาติ ช่วยคุมน้ำหนักได้อีกวิธีหนึ่ง เพราะจะทำให้รู้สึกอิ่มท้องเร็ว
- ทานอาหารจำพวกธัญพืช (ชนิดไขมันต่ำ) อาจทานตอนเช้า (หากไม่มีเวลาทานข้าว) ธัญพืชเหล่านี้ อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และสารต้านอนุมูลอิสระต่าง ๆ ระบบจะย่อยช้า ๆ เข้าสู่ร่างกาย ทำให้รู้สึกอิ่มท้องนาน
- เคลื่อนไหวร่างกาย หลังเลิกงานอาจเรียกเหงื่อด้วยการเดินเล่น หรือวิ่ง หากมีเวลาอาจเล่นกีฬาที่ชอบสักครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง (การเคลื่อนไหวเร็ว ๆ จะเผาผลาญได้ 140 แคลอรีในครึ่งชั่วโมง)
- เคี้ยวอาหารช้าๆ เพราะการทานเร็ว จะทำให้ทานมากเกินอัตราโดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงการทานอาหารหลัง 6 โมงเย็น หรือช่วงเวลากลางคืน
- ทานผัก-ผลไม้ เพราะผักจะให้พลังงานน้อย แต่ให้สารอาหารมาก ส่วนผลไม้ เลือกทานที่ให้พลังงานต่ำ เช่น ฝรั่ง มะม่วง ชมพู่ แตงโม แคนตาลูป เลี่ยงผลไม้หวานจัด ให้พลังงานสูง
เคล็ดลับง่ายๆ ช่วยคุณ กำจัดไขมันส่วนเกินได้ หากปฏิบัติเป็นประจำ ก็ไม่ต้องกังวลมากนัก
กะหล่ำปลีลดอ้วน
เมื่อไม่นานมานี้ สาวๆ ที่กำลังลดความอ้วนคงได้ยินข่าวของยาลดความอ้วนที่อันตรายถึงชีวิต
นี่เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่าการลดความอ้วนแบบธรรมชาตินั้นปลอดภัยที่สุด วันนี้เรามีผักแสนอร่อยที่ช่วยควบคุมน้ำหนักมาแนะนำค่ะ
นี่เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่าการลดความอ้วนแบบธรรมชาตินั้นปลอดภัยที่สุด วันนี้เรามีผักแสนอร่อยที่ช่วยควบคุมน้ำหนักมาแนะนำค่ะ
ผักที่ว่านี้คือกะหล่ำปลีแบบบ้านๆ ของเรานี่เอง เพราะล่าสุดมีงานวิจัยสนับสนุนว่ากะหล่ำปลีมีกรดทาร์ทาริก ช่วยยับยั้งขัดขวางไม่ให้น้ำตาลและแป้งกลายไปเป็นไขมัน จึงช่วยลดน้ำหนักได้
วิธีปรุง อาจรับประทานเป็นผักสลัด เพราะกะหล่ำปลีดิบยังมีวิตามินซีสูง หากปรุง ควรปรุงด้วยการนึ่ง อบไมโครเวฟ หรือผัด จะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด
วิธีปรุง อาจรับประทานเป็นผักสลัด เพราะกะหล่ำปลีดิบยังมีวิตามินซีสูง หากปรุง ควรปรุงด้วยการนึ่ง อบไมโครเวฟ หรือผัด จะช่วยคงคุณค่าของสารอาหารไว้ได้ดีที่สุด
อย่างไรก็ตาม ควรรับประทานแต่พอเหมาะ เพราะการรับประทานกะหล่ำปลีมากเกินไปอาจทำให้มีปัญหาเรื่องต่อมไทรอยด์ได้
เย็นนี้ลองทำอาหารใส่กะหล่ำปลีกินเองดูดีไหม
เบียร์… ก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพนะ
สำหรับ คอเบียร์คงหูผึ่งเมื่อมีคนบอกว่าเบียร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถึงอย่างไรก็ควรดื่มพอประมาณ แล้วเหตุใดฝรั่งจึงบอกว่าเบียร์ดีมีประโยชน์ เหตุผลก็คือเบียร์มีสารต่างๆ มากกว่า 1,000 ชนิด รวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ เช่น สังกะสี แมกนีเซียม เหล็ก และแร่ธาตุจำเป็น ซึ่งช่วยให้เส้นประสาทและกล้ามเนื้อ แข็งแรง เหตุผลดีๆ ยังมีอีกมากมาย เช่น
ป้องกันโรคหัวใจ จากการศึกษาของนักวิชาการพบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่มเบียร์ 40 - 60% แต่ควรดื่มไม่เกินครึ่งลิตรต่อวัน
ช่วยลดความเสี่ยงโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต สารที่มีประโยชน์ในเบียร์สามารถช่วยป้องกันเส้นเลือดอุดตันจึงช่วยป้องกันโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต
ช่วยลดความดันโลหิต แพทย์ชาวฮอลแลนด์และจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดค้นพบว่า การดื่มเบียร์ช่วยลดความดันโลหิตสูงได้
ป้องกันเบาหวาน ผู้ที่ดื่มเบียร์มีจำนวนน้อยที่ป่วยเป็นโรคเบาหวาน เหตุผลก็คือ เบียร์ทำให้ร่างกายสามารถปรับฮอร์โมนอินซูลิให้ความทรงจำดี นักดื่มเบียร์จึงไม่ค่อยเป็นโรคอัลไซเมอร์
ช่วยให้กระดูกแข็งแรง เบียร์ให้ผลดีต่อกระดูก สามารถช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ แต่ได้ผลเฉพาะกับหนุ่มสาวเท่านั้น
ช่วยให้อายุยืน จากการศึกษามากกว่า 50 สำนัก พบว่า ผู้ที่ดื่มเบียร์วันละ 1 - 2 แก้ว มักจะมีอายุที่ยืนยาว เนื่องจากเบียร์มีสารปกป้องหัวใจ
ป้องกันท้องร่วง โมเลกุลในเบียร์มีส่วนประกอบเหมือนกันกับกรดนมและน้ำส้มสายชู สารที่ว่านี้ขัดขวางเชื้อโรคในลำไส้ที่เป็นสาเหตุของท้องร่วงไม่ให้แพร่ เชื้อจนท้องเสีย
ต้านความเครียด นักวิชาการจากมหาวิทยาลัย Montreal ค้นพบว่า คนทำงานที่ได้ดื่มเบียร์บ้างเป็นครั้งคราวมีความเครียดน้อยกว่าผู้ที่ไม่ดื่มเบียร์
ป้องกันนิ่วในถุงน้ำดีและในไต นักวิชาการจากเมืองเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ค้นพบว่า การดื่มเบียร์วันละหนึ่งขวดก็จะได้รับแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนิ่วในไตได้ถึง 40%
ป้องกันโรคนอนไม่หลับ สารจากดอก Hops ใน เบียร์เปรียบเสมือนยานอนหลับจากธรรมชาติ ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย ดังนั้น การดื่มเบียร์หนึ่งแก้วในตอนเย็นจึงเหมือนกับการกินยานอนหลับ
ช่วยต้านมะเร็ง เบียร์มีสารโพลีฟีนอยด์ที่จะช่วยป้องกันมะเร็ง โดยการดักจับอนุมูลอิสระตัวร้ายออกจากร่างกาย สารโพลีฟีนอยด์หลักก็คือ Xanthohumol ซึ่งมีข้อดี คือ ช่วยยับยั้งโปรตีนที่ช่วยในการพัฒนาการของมะเร็ง
ช่วยให้ผิวสวย ในเบียร์มีวิตามินสูง เช่น Pantothenic Acid วิตามินบี 3 และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการผลิตเซลล์ผิวใหม่ ช่วยสร้างคอลลาเจนและเม็ดสี ผิวจึงเรียบเนียนและอ่อนนุ่ม
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)